2559-05-10

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศในหนังสือนางนพมาศ  หรือ  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  หรือ เรวดีนพมาศ นั้น  เป็นธิดาของพระศรีมโหสถและนางเรวดี  นางนพมาศเป็นผู้มีรูปสมบัติและคุณสมบัติที่งดงาม  ได้รับการอบรมจากบิดา  มีความรู้ทางอักษรศาสตร์  พุทธศาสนา  ศาสนาพราหมณ์  การช่างของสตรี  ตลอดจนการขับร้องดนตรี  นางนพมาศได้ถวายตัวเป็นสนม  ทำหน้าที่ขับร้องถวาย  ได้เป็นพระสนมเอก  ตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์
เรื่องนางนพมาศ มีชื่อเรียกกันอยู่    ชื่อ  คือ นพมาศ   เรวดีนพมาศ   และตำรับท้างศรีจุฬาลักษณ์   เป็นหนังสือที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมัยที่แต่ง  นักวรรณคดีมีความเห็นแตกต่างกันเป็น ๒ กลุ่ม คือ
          กลุ่มที่ ๑  มีความเห็นว่า  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  เป็นหนังสือที่ไม่ได้แต่งในสมัยกรุงสุโขทัย  คงแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า  
จะเห็นได้ง่ายว่าเป็นหนังสือแต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง  แต่งระหว่างรัชกาลที่ ๒  ๓  ไม่ก่อนหน้านั้น  และไม่เป็นสำนวนภายหลังนั้นลงมาแน่นอน
กลุ่มที่ ๒  มีความเห็นว่า  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  อาจแต่งในสมัยกรุงสุโขทัย  เพราะมีเค้าความคิดและถ้อยคำสมัยกรุงสุโขทัย  แต่มาแต่งเติมในชั้นหลังมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ทั้ ๒ กลุ่มก็มีความเห็นตรงกันว่า  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  เป็นหนังสือที่แต่งเติมหรือแต่งใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  โดยใช้เค้าเรื่องเดิม  ทั้งนี้เพราะมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  เช่น  การกล่าวถึงชนชาติอเมริกัน  การกล่าวถึงปืนใหญ่ ซึ่งยังไม่มีในสมัยนั้น  ถ้อยคำสำนวนเป็นถ้อยคำใหม่  มีคำกลอนซึ่งเกิดขึ้นหลังสมัยกรุงสุโขทัยด้วย
สมัยที่แต่ง     สันนิษฐานว่า แต่งในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท )
ผู้แต่ง     เชื่อกันว่าเป็นกวีหญิง ชื่อ นพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์พระสนมเอกของพระยาลิไท
   
นางนพมาศ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถ มารดาชื่อนางเรวดี ได้รับการสั่งสอนจากบิดา มีความรู้สูงในด้านภาษาไทย ภาษาสันสกฤต ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ การแต่งคำประพันธ์ โหราศาสตร์ การขับร้องและการช่างสตรี มีความงามเลื่อลือทั้งคุณสมบัติดีเลิศ ต่อมาได้เป็นพระสนม เคยจัดดอกไม้ประดับขันหมากรับรองแขกเมือง ประดิษฐ์โคมลอยพระประทีป ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ตำแหน่งพระสนมเอก ด้านวรรณคดีเป็นผู้เขียนหนังสือนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
จุดมุ่งหมายในการแต่ง กล่าวกันว่า นางนพมาสหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์เขียนหนังสือเรื่องนี้ขึ้น
เพื่อเล่าประวัติของตนเอง ในฐานะที่เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้า และเพื่อแสดงความเป็นมาของวัฒนธรรมและพิธีกรรมบางอย่างที่เกิดข ึ้นในสมัยนั้น นอกจากนั้นบรรดานิทานต่าง ๆ ที่แต่งแทรกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นนิทานที่ผู้แต่งยกมาประ กอบการอบรมสั่งสอนผู้หญิงทั้งหลาย ให้อยู่ในความประพฤติที่ดีงาม จึงนับว่าเป็นวรรณคดีคำสอนเล่มหนึ่ง
ลักษณะคำประพันธ์     เป็นความเรียงทำนองชีวประวัติ มีคำประพันธ์ร้อยกรองแทรกบางตอนได้แก่ โคลงสี่สุภาพและกลอนดอกสร้อย เป็นต้น
เนื้อเรื่อง  เนื้อหาแบ่งเป็น ๒ ตอน คือ
     
ตอนที่ ๑ ว่าด้วยชีวประวัตินางนพมาศ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเข้ารับราชการฝ่ายใน ในราชสำนักของพระร่วงเจ้า และได้เลื่อนขึ้นเป็นพระสนมเอกในรัชกาลนั้น และกล่าวถึงพิธีต่าง ๆ ที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นประเพณีตลอด ๙ เดือน เช่น พิธีเผาข้าว พิธีจรดพระนังคัล พิธีวิสาขะ พิธีอาสวยุช (แข่งเรือ) พิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เป็นต้น
     
ตอนที่ ๒ อาจถือเป็นภาคผนวก หรือเป็นตอนที่ผู้อื่นแต่งเติมเข้ามาก็ได้ เพราะมีนิทานต่าง ๆ แทรกอยู่หลายเรื่อง ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระเท่าใดนัก
     
นิทานที่แทรกในหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องนิทานสอนผู้หญิงในแง่ต่าง ๆ ให้เห็นลักษณะ
ของการประพฤติชั่วว่ามีโทษอย่างไร และการทำดีมีผลสนองอย่างไร เช่น นิทานเรื่องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล   นางช้างแสนงอน   นางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ 
  เป็นต้น
คุณค่าของหนังสือ
     ๑. ด้านวัฒนธรรม ทำให้รู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในพระราชสำนัก ได้แก่ ประเพณีลอยกระทง การปฏิบัติตัวของหญิงชาววัง เช่น ตำแหน่งหน้าที่ของนางนพมาศ และการศึกษาของเด็กไทยสมัยก่อน  ตลอดจนขนบธรรมเนียมการรับราชการบางประการในราชสำนัก  เช่น  กล่าวว่า แม้จะทำกิจราชการเฝ้าแหน  จงประพฤติจริตกิริยาหมอบคลานให้เรียบร้อย  ต้องที่ต้องทาง  อย่าทำรี ๆ ขวาง ๆ ให้เขาว่า  และการลอยกระทงซึ่งสืบทองมาจนถึงทุกวันนี้
     ๒. ด้านสังคม ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติสตรีและค่านิยมทางสังคม ได้แก่ ความประพฤติ ความขยัน รวมทั้งวิชาทางช่าง  ทำให้มองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมในสมัยของพระยาลิไท ประชาชนมีความเป็นอยู่สมบูรณ์พูนสุข  มีความสนุกสนานรื่นเริง  และมีใจบุญสุนทาน
     ๓. ด้านภาษา มีคุณค่าทางอักษรศาสตร์และวรรณคดี เรื่องนี้ใช้โวหารเชิงพรรณนาได้อย่างดียิ่งมีความไพเราะ ทำให้อ่านเข้าใจง่าย 
    ๔. ด้านโบราณคดี ให้ความรู้ทางโบราณคดี เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบพระราชพิธี
ต่าง ๆ   รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ก็อาศัยหลักการค้นคว้าจากตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ประกอบด้วย
     ๕.  ด้านอิทธิพลตอ่วรรณคดีอื่น  ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  มีอิทธิพลต่อวรรณคดียุคหลัง คือ  พระราชพิธี ๑๒ เดือน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๕  ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น  ได้ทรงใช้หนังสือเล่มนี้ค้นคว้าประกอบการพระราชนิพนธ์ และมีการกล่าวอ้างถึงนางนพมาศในพระราชนิพนธ์นี้ด้วย
  
สรุปวรรณคดีสมัยสุโขทัย
                 สรุปวรรณคดีสมัยสุโขทัย แยกออกได้ดังนี้
            ๑. เนื้อหา ส่วนใหญ่เป็นวรรณคดีสอน ยกเว้นศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงก็ยังมีข้อความที่กล่าวถึงพ่อขุนร ามคำแหงทรงสั่งสอนประชาชนในวันธรรมดาที่มิใช่วันธรรมสวนะ ลักษณะคำสอนของวรรณคดีสมัยนั้นอาจสรุปได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ เป็นคำสอนตามแนวพุทธศาสนาและสอนคำตามแนวความคิดเห็นแบบคนไทยโบร าณ
            ๒. ลักษณะคำประพันธ์  ส่วน มากเป็นร้อยแก้ว คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เรื่องนางนพมาศ และเตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง บทประพันธ์ร้อยกรองมีเพียงเรื่องเดียว คือ สุภาษิตพระร่วง ซึ่งแต่งเป็นร้อยกรองประเภทร่ายโบราณ
            ๓. จุดมุ่งหมายในการแต่ง มีดังนี้
                        - บันทึกสภาพสังคม การเมือง และการปกครอง
                        - อบรมสั่งสอนศีลธรรม
                      - เทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น