ประวัติวรรณคดีสมัยสุโขทัย
สภาพเหตุการณ์ทั่วไป
อาณาจักรสุโขทัยมั่นคงเป็นปึกแผ่นขึ้น หลังจากที่เข้ามามีอำนาจเหนือขอมได้เมื่อ ประมาณพ.ศ.๑๘๐๐ โดยพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ได้รวมกำลังกันยกกองทัพมาตีเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นเมือง ใหญ่หน้าด่าน ของขอม มีผู้ปกครอง เมืองเรียกว่าขอมสมาดโขลญลำพง รักษาเมืองอยู่ เมื่อตีกรุงสุโขทัยได้แล้ว พ่อขุนผาเมืองก็ได้ อภิเษกให้พ่อขุนบางกลางหาว เป็นเจ้าเมืองครองกรุงสุโขทัย มีพระนาม ตามอย่างที่ขอม เคยตั้งนามเจ้าเมืองสุโขทัยแต่ก่อนว่า "ศรีอินทรปตินทราทิตย์" แต่ในศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ซึ่งเป็นต้นราชวงศ ์ สุโขทัย (ราชวงศ์พระร่วง)
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีมเหสีชื่อนางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์
องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ ตั้งแต่ยังเยาว์องค์กลางมีนามว่าบานเมือง และองค์เล็กมีนามว่า พระรามคำแหง
ในรัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย ์อาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรเล็ก ๆมีอาณาเขต ดังนี้
ทิศเหนือ จดอาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรลานนาไทยอาณาจักรพะเยา
ทิศตะวันตก จดเมืองฉอด
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สวรรคต พ่อขุนบานเมืองได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒
และได้ทรงตั้งพระรามคำแหงเป็นมหาอุปราชครองเมืองชะเลียง พ่อขุนบานเมือง ได้ครองราชย์ อยู่จนถึงราว พ.ศ. ๑๘๒๒ ก็สวรรคต พ่อขุนรามคำแหง (พระอนุชา)จึงขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓ พระองค์ทรงเป็นนักรบที่ปรีชาสามารถ ก่อนครองราชสมบัติ เคยทรงชนช้างชนะเจ้าเมืองฉอด และในสมัยของพระองค์อาณาจักรสุโขทัยสงบราบคาบ กว้างใหญ่ไพศาล มีการเจริญสัมพันธไมตรีฉันเพื่อนกับพระเจ้าเม็งราย แห่งเชียงใหม่ พระยางำเมืองแห่งพะเยา และในขณะเดียวกันก็ได้เจริญสัมพันธไมตรีกับมอญ เล่ากันว่า มะกะโทกษัตริย์มอญ ทรงเป็นราชบุตรเขยของพระองค์ นอกจากนี้ทรงได้เจริญสัมพันธไมตรี กับจีน จนได้ช่างฝีมือชาวจีนมาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสังคโลกในสุโขท ัย และในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงนี้เริ่มมีวรรณคดีที่จารึกเป็นหลักฐานของชาติขึ้ นเป็นครั้งแรก
สุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลงหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระเจ้าเลอไทยกษัตริย์องค์ที่ ๔
ไม่ทรงมีพระปรีชาสามารถและเข้มแข็งเท่าพระราชบิดา ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ พากัน แข็งข้อ เป็นอิสระพระเจ้า อู่ทองเจ้าเมืองอู่ทองหรือสุพรรณภูมิ ได้ทรงขยาย อาณาเขต กว้างขวางขึ้นและทรงสถาปนาอยุธยาเป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. ๑๓๕๐)
พระเจ้าเลอไทยสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๙๐ มีการแย่งราชสมบัติระหว่างราชโอร ๒ พระองค์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้ทรงครองราชสมบัติแทน พระองค์เป็น กษัตริย์ที่ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงอุทิศเวลา ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทรงนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วงทรงสร้างวัดและสถูปเจดีย์ต่าง ๆ มากมาย และสร้างสถานที่ สำคัญต่าง ๆในสุโขทัยอีกหลายแห่ง
พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้ทรงสืบ ราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
อำนาจกรุงสุโขทัยได้สิ้นสุดลงหลังจากได้เอกราชมาประมาณ ๑๔๐ ปี เมื่อ กองทัพของพระเจ้าบรมราชาที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาตีได้ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แต่ราชวงศ์สุโขทัยยังคงครองสุโขทัยสืบต่อมาอีกประมาณ ๖๐ ปีจนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ พระเจ้าบรมราชาที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง อาณาจักร สุโขทัยเสียใหม่ โดยทรงตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสไปครองพิษณุโลก การปฏิบัติ เช่นนี้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์สุโขทัยอย่างเด็ดขา ดและสุโขทัยกลายเป็น ส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตั้งแต่นั้นมา
อาณาจักรสุโขทัยมั่นคงเป็นปึกแผ่นขึ้น หลังจากที่เข้ามามีอำนาจเหนือขอมได้เมื่อ ประมาณพ.ศ.๑๘๐๐ โดยพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ได้รวมกำลังกันยกกองทัพมาตีเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นเมือง ใหญ่หน้าด่าน ของขอม มีผู้ปกครอง เมืองเรียกว่าขอมสมาดโขลญลำพง รักษาเมืองอยู่ เมื่อตีกรุงสุโขทัยได้แล้ว พ่อขุนผาเมืองก็ได้ อภิเษกให้พ่อขุนบางกลางหาว เป็นเจ้าเมืองครองกรุงสุโขทัย มีพระนาม ตามอย่างที่ขอม เคยตั้งนามเจ้าเมืองสุโขทัยแต่ก่อนว่า "ศรีอินทรปตินทราทิตย์" แต่ในศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ซึ่งเป็นต้นราชวงศ ์ สุโขทัย (ราชวงศ์พระร่วง)
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีมเหสีชื่อนางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์
องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ ตั้งแต่ยังเยาว์องค์กลางมีนามว่าบานเมือง และองค์เล็กมีนามว่า พระรามคำแหง
ในรัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย ์อาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรเล็ก ๆมีอาณาเขต ดังนี้
ทิศเหนือ จดอาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรลานนาไทยอาณาจักรพะเยา
ทิศตะวันตก จดเมืองฉอด
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สวรรคต พ่อขุนบานเมืองได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒
และได้ทรงตั้งพระรามคำแหงเป็นมหาอุปราชครองเมืองชะเลียง พ่อขุนบานเมือง ได้ครองราชย์ อยู่จนถึงราว พ.ศ. ๑๘๒๒ ก็สวรรคต พ่อขุนรามคำแหง (พระอนุชา)จึงขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓ พระองค์ทรงเป็นนักรบที่ปรีชาสามารถ ก่อนครองราชสมบัติ เคยทรงชนช้างชนะเจ้าเมืองฉอด และในสมัยของพระองค์อาณาจักรสุโขทัยสงบราบคาบ กว้างใหญ่ไพศาล มีการเจริญสัมพันธไมตรีฉันเพื่อนกับพระเจ้าเม็งราย แห่งเชียงใหม่ พระยางำเมืองแห่งพะเยา และในขณะเดียวกันก็ได้เจริญสัมพันธไมตรีกับมอญ เล่ากันว่า มะกะโทกษัตริย์มอญ ทรงเป็นราชบุตรเขยของพระองค์ นอกจากนี้ทรงได้เจริญสัมพันธไมตรี กับจีน จนได้ช่างฝีมือชาวจีนมาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสังคโลกในสุโขท ัย และในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงนี้เริ่มมีวรรณคดีที่จารึกเป็นหลักฐานของชาติขึ้ นเป็นครั้งแรก
สุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลงหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระเจ้าเลอไทยกษัตริย์องค์ที่ ๔
ไม่ทรงมีพระปรีชาสามารถและเข้มแข็งเท่าพระราชบิดา ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ พากัน แข็งข้อ เป็นอิสระพระเจ้า อู่ทองเจ้าเมืองอู่ทองหรือสุพรรณภูมิ ได้ทรงขยาย อาณาเขต กว้างขวางขึ้นและทรงสถาปนาอยุธยาเป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. ๑๓๕๐)
พระเจ้าเลอไทยสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๙๐ มีการแย่งราชสมบัติระหว่างราชโอร ๒ พระองค์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้ทรงครองราชสมบัติแทน พระองค์เป็น กษัตริย์ที่ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงอุทิศเวลา ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทรงนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วงทรงสร้างวัดและสถูปเจดีย์ต่าง ๆ มากมาย และสร้างสถานที่ สำคัญต่าง ๆในสุโขทัยอีกหลายแห่ง
พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้ทรงสืบ ราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
อำนาจกรุงสุโขทัยได้สิ้นสุดลงหลังจากได้เอกราชมาประมาณ ๑๔๐ ปี เมื่อ กองทัพของพระเจ้าบรมราชาที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาตีได้ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แต่ราชวงศ์สุโขทัยยังคงครองสุโขทัยสืบต่อมาอีกประมาณ ๖๐ ปีจนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ พระเจ้าบรมราชาที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง อาณาจักร สุโขทัยเสียใหม่ โดยทรงตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสไปครองพิษณุโลก การปฏิบัติ เช่นนี้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์สุโขทัยอย่างเด็ดขา ดและสุโขทัยกลายเป็น ส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตั้งแต่นั้นมา
กำเนิดอักษรไทย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ โดยทรงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัดและอักษรไทยเดิม ซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรมอญและคิดอักษรไทยขึ้นใหม่ให้มีสระ และวรรณยุกต์ให้ พอใช้กับภาษาไทย และทรงเรียกอักษรดังกล่าว ลายสือไทย ดังมีกล่าวในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งว่า
"เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึงมีพ่อขุนรามคำแหงผู้นั้นใส่ไว้…" (ปี ๑๒๐๕ เป็นมหาศักราชตรงกับพุทธศักราช ๑๘๒๖)
ลักษณะอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง ๑. อักษรสมัยพ่อขุนรามคำแหงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด มีดังนี้คือ ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ญ ฎ ฐ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห และได้เพิ่มพยัญชนะและวรรณยุกต์ให้พอกับภาษาไทยในสมัยนั้น ได้แก่ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ และวรรณยุกต์เอก และโท
๒. สระและพยัญชนะเขียนเรียงอยู่ในบรรทัดเดียวกัน และสูงเสมอกัน เขียนสระไว้หน้าพยัญชนะ ยกเว้นสระอะ สระอาเขียนอยู่ข้างหลัง ส่วนวรรณยุกต์เขียนไว้ข้างบน
๓. สระอะเมื่อมีตัวสะกด ใช้พยัญชนะซ้อนกัน เช่น น่งง (นั่ง) ขบบ (ขับ)
๔. สระเอีย ใช้ ย แทน เช่น สยง (เสียง) ถ้าไม่มีตัวสะกดใช้สระอี โดยไม่มีไม้หน้า
๕. สระอัว ที่ไม่มีตัวสะกด ใช้ วว เช่น ตวว (ตัว)
๖. สระอือและสระออที่ไม่มีตัวสะกด ไม่ใช้ อ เช่น ชี่ (ชื่อ) พ่ (พ่อ)
๗. สระอึ ใช้สระอิและสระอีแทน เช่น ขิ๋น (ขึ้น) จี่ง (จึ่ง)
๘. ตัว ม ที่เป็นตัวสะกดใช้นฤคหิต เช่น กลํ (กลม) ฯลฯ
อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหง ใช้แพร่หลายในเขตล้านนา ล้านช้าง และกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวล้านนาและชาวล้านช้างเลิกใช้อักษรไทยสมัยกรุงสุโขทัยและใช้อักษร ของพวกลื้อ ซึ่งเป็นอักษรไทยพวกหนึ่งแทน ส่วนกรุงศรีอยุธยายังคงใช้อักษรไทยและดัดแปลงแก้ไขมาเป็นระยะ ๆ จนเป็นเช่นอักษรไทยปัจจุบัน
"เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึงมีพ่อขุนรามคำแหงผู้นั้นใส่ไว้…" (ปี ๑๒๐๕ เป็นมหาศักราชตรงกับพุทธศักราช ๑๘๒๖)
ลักษณะอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง ๑. อักษรสมัยพ่อขุนรามคำแหงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด มีดังนี้คือ ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ญ ฎ ฐ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห และได้เพิ่มพยัญชนะและวรรณยุกต์ให้พอกับภาษาไทยในสมัยนั้น ได้แก่ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ และวรรณยุกต์เอก และโท
๒. สระและพยัญชนะเขียนเรียงอยู่ในบรรทัดเดียวกัน และสูงเสมอกัน เขียนสระไว้หน้าพยัญชนะ ยกเว้นสระอะ สระอาเขียนอยู่ข้างหลัง ส่วนวรรณยุกต์เขียนไว้ข้างบน
๓. สระอะเมื่อมีตัวสะกด ใช้พยัญชนะซ้อนกัน เช่น น่งง (นั่ง) ขบบ (ขับ)
๔. สระเอีย ใช้ ย แทน เช่น สยง (เสียง) ถ้าไม่มีตัวสะกดใช้สระอี โดยไม่มีไม้หน้า
๕. สระอัว ที่ไม่มีตัวสะกด ใช้ วว เช่น ตวว (ตัว)
๖. สระอือและสระออที่ไม่มีตัวสะกด ไม่ใช้ อ เช่น ชี่ (ชื่อ) พ่ (พ่อ)
๗. สระอึ ใช้สระอิและสระอีแทน เช่น ขิ๋น (ขึ้น) จี่ง (จึ่ง)
๘. ตัว ม ที่เป็นตัวสะกดใช้นฤคหิต เช่น กลํ (กลม) ฯลฯ
อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหง ใช้แพร่หลายในเขตล้านนา ล้านช้าง และกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวล้านนาและชาวล้านช้างเลิกใช้อักษรไทยสมัยกรุงสุโขทัยและใช้อักษร ของพวกลื้อ ซึ่งเป็นอักษรไทยพวกหนึ่งแทน ส่วนกรุงศรีอยุธยายังคงใช้อักษรไทยและดัดแปลงแก้ไขมาเป็นระยะ ๆ จนเป็นเช่นอักษรไทยปัจจุบัน
กวีสำคัญ
๑. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงสมัยกรุงสุโขทัย เป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และนางเสือง มีพระเชษฐา ๒ พระองค์ องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ องค์กลางทรงพระนามว่า" บานเมือง " และมีพระขนิษฐาอีก ๒ พระองค์ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมีพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา ได้เสด็จไปในกองทัพกับพระะชนกและได้ทำยุทธหัตถีกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้ ชัยชนะ พระชนกจึงพระราชทานพระนามว่า "พระรามคำแหง " เมื่อพระชนกสวรรคต พ่อขุนบานเมืองผู้เป็นพระเชษฐาได้ขึ้นครองราชย์และแต่งตั้งให้พ่อขุนราม คำแหงไปครองเมืองเชลียง และเมื่อพ่อขุนบานเมืองสวรรคต พ่อขุนรามคำแหงจึงได้ขึ้นครองกรุงสุโขทัย เป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วง
พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์ ทรงเป็นนักรบ นักปกครอง และนักอักษรศาสตร์ พระองค์ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ทรงแต่งตั้งราชทูตไปสานสัมพันธไมตรีกับจีน และได้นำช่างปั้นจากจีนมาปั้นเครื่องชามสังคโลกในกรุงสุโขทัย ทรงทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ได้เป็นไมตรีกับเมืองลังกาและได้พระพุทธสิหิงค์จากเมืองลังกา โดยรับมาจากนครศรีธรรมราชอีกทอดหนึ่งในรัชสมัยนี้
๒. พระยาลิไท
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพระยาลิไท เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระยางัวนำถม จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดพระมหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักที่ ๘ ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้กล่าวว่า เมื่อพระยาเลอไทสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พระยางัวนำถมได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาพระยาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติได้ และขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า "พระยาลิไท" หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑
พระยาลิไททรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระเถระชาวลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละราชสมบัติออกทรงพระผนวชที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก พระยาลิไททรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงสนพระทัยบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นอันมาก และทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วงตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุงสุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ที่ฝีมือการ ช่างงดงามเป็นเยี่ยม
๓. นางนพมาศ
นางนพมาศเกิดในรัชกาลพญาเลอไท กษัตริย์ที่ ๔ แห่งราชวงศ์พระร่วง บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติรัตน์ มีราชทินนามว่า พระศรีมโหสถ รับราชการในตำแหน่งปุโรหิต มารดาชื่อ เรวดี ภายหลังนางนพมาศได้ถวายตัวเข้าทำราชการในราชสำนักสมเด็จพระร่วงเจ้า สันนิษฐานว่ารับราชการในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" พระสนมเอก
ปรากฎว่า นางนพมาศได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของพระร่วงในกาลต่อมา ที่สำคัญๆ มีอยู่ ๓ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน ก็ถึงพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป นางได้คิดประดิษฐ์โคมเป็นรูปบัวกมุทบาน มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก
ครั้งที่ ๒ ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน เป็นพิธีชุมนุมข้าราชการทุกหัวเมือง มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู นางนพมาศได้คิด ประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม พระร่วงทรงโปรดปรานและรับ สั่งว่า ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี รับแขกก็ดี ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น ซี่งเป็นต้นเหตุของพานขันหมาก เวลาแต่งงาน ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน
ครั้งที่ ๓ นางได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้ ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อใช้บูชาพระรัตนตรัย พระ ร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น ตรัสว่า แต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้
วรรณคดีสมัยสุโขทัยที่มีอยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมี อยู่ ๔ เรื่อง คือ
๑. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ หรือจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
๒. สุภาษิตพระร่วง
๓. เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิพระร่วง
๔. นางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ลักษณะวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัย
วรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยเท่าที่ปรากฏหลักฐานมีอยู่เพียง ๒ รัชสมัย คือ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) มีกวีและวรรณคดีสำคัญ ๔ เรื่อง ลักษระวรรณคดี เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง วัฒนธรรมและอบรมสั่งสอนศีลธรรม มิได้มุ่งเพื่อความบันเทิงโดยตรง คำประพันธ์จะแต่งเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองกัน ซึ่งนิยมพูดในสมัยนั้น การใช้ถ้อยคำระยะแรกใช้คำไทยแท้เป็นส่วนมาก ระยะหลังมีคำบาลี สันสกฤตและคำเขมรปนมากขึ้น
๑. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ หรือจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
๒. สุภาษิตพระร่วง
๓. เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิพระร่วง
๔. นางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ลักษณะวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัย
วรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยเท่าที่ปรากฏหลักฐานมีอยู่เพียง ๒ รัชสมัย คือ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) มีกวีและวรรณคดีสำคัญ ๔ เรื่อง ลักษระวรรณคดี เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง วัฒนธรรมและอบรมสั่งสอนศีลธรรม มิได้มุ่งเพื่อความบันเทิงโดยตรง คำประพันธ์จะแต่งเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองกัน ซึ่งนิยมพูดในสมัยนั้น การใช้ถ้อยคำระยะแรกใช้คำไทยแท้เป็นส่วนมาก ระยะหลังมีคำบาลี สันสกฤตและคำเขมรปนมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น